Public Cloud vs Private Cloud
ระบบการทำงานของ Cloud Server แบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
- Public Cloud : เป็นการใช้งาน Cloud Server ร่วมกับผู้อื่น สามารถใช้พื้นที่ได้อย่างไร้ขีดจำกัด
- Private Cloud : เป็นการเปิด Cloud Server ขึ้นมาเปน็ ของตัวเอง
- Hybrid Cloud : เป็นการผสมผสานระหว่าง Public และ Private Cloud โดยองค์กรสามารถเก็บ ข้อมูลสำคัญไว้ใน Private Cloud และเก็บข้อมูลอื่น ๆ ไว้ใน Public Cloud ได้
แต่เดี๋ยวก่อน!!! หลายๆคนอาจจะงงว่าแบ่งทำไม แล้ว Cloud มีหน้าที่ทำอะไรเรามาทำความเข้าใจกันก่อน
Cloud Computing คืออะไร?
เทคโนโลยี Cloud Computing หรือที่เรียกกันว่า การประมวลผลกลุ่มเมฆ สิ่งนคี้ คือเทคโนโลยีที่ ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึง Software ระบบ รวมถึงทรัพยากรคอมพิวเตอร์ได้อย่างทั่วถึง ไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อคอมพิวเตอร์ Software หรือ Hardware เครื่องใหม่ ไม่จำเป็นต้องสร้าง Server เป็นของตนเอง ไม่ต้องวางระบบเครือข่ายเอง ไม่ต้องทำการติดตั้งวุ่นวาย คุณก็สามารถจัดการองค์กรได้อย่างมี ประสิทธิภาพผ่านระบบของผู้ให้บริการ ประหยัดทั้งเวลา ประหยัดทั้งต้นทุน แถมยังยืดหยุ่นต่อการใช้งาน
เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้บริการ Cloud Computing ก็สามารถเข้าถึงระบบจัดเก็บข้อมูลบน Cloud ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่วาจะเชื่อมต่อผ่านเว็บบราวเซอร์อย่าง Google หรือ แอพพลิเคชั่นอย่าง Facebook หรือ Line บนอุปกรณ์ต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ, Notebook หรือ Tablet ส่งผลให้เจ้าเทคโนโลยีตัวนี้ มีความยืดหยุ่นต่อการใช้งานสูง เหมาะสำหรับธุรกิจทุกประเภท
โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจขนาดกลางเพราะประหยัดต้นทุน องค์กรและบริษัทใหญ่ๆ หน่วยงานภาครัฐ รวมถึงสถาบันการศึกษาเอง ก็เริ่มนำเทคโนโลยี Cloud มาใช้งาน เพราะเป็นตัวช่วยจัดการธุรกิจ ลดความยุ่งยาก รวมถึงลดค่าใช้จ่ายระยะยาวอีกด้วย
เอาหละไปทำความเข้าใจประเภทของการทำงาน Cloud Computing กันต่อได้เลย
ประเภทของการทำงาน Cloud Computing
Public Cloud
คือคลาวด์ประเภทที่อนุญาตให้ทุกคนที่มีอินเทอร์เน็ต สามารถใช้งานเพื่อเข้าถึงข้อมูลได้ โดยต้องทำการเช่า หรือสมัครสมาชิก และต้องมีข้อมูลเพื่อเข้าสู่ระบบ ข้อดีของคลาวด์ประเภทนี้คือง่ายต่อการใช้งานและเชื่อมต่อ รวมถึงมีความน่าเชื่อถือสูงเนื่องจากใช้งานผ่านระบบของผู้ให้บริการชั้นนำ อย่างเช่น Google Cloud Platform ที่มี Server ขนาดใหญ่ครอบคลุมหลายพื้นที่
Private Cloud
มีความปลอดภัยมากกว่าเมื่อเทียบกับคลาวด์แบบสาธารณะ องค์กรใหญ่ๆ ที่เก็บข้อมูลลูกค้าไว้นอกประเทศมักเลือกใช้คลาวด์แบบส่วนตัว โดยการเช่า Server ส่วนตัวจากผู้ให้บริการ หรือสร้างคลาวด์ส่วนตัวขึ้นมาเอง เพราะสามารถจัดสรรพื้นที่สำหรับเก็บข้อมูลได้ด้วยตนเอง อีกทั้งยังปลอดภัยและสามารถจำกัดการเข้าถึงข้อมูลได้ อย่างเช่น Amazon Virtual Private Cloud (Amazon VPC)
ซึ่งการใช้งานประเภทนี้จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่าคลาวด์สาธารณะเนื่องจากองค์กรต้องจัดและซ่อมบำรุง ระบบปฏิบัติการรวมถึงทรัพยากรคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ด้วยตัวเอง
Hybrid Cloud
คือการใช้งานคลาวด์สาธารณะและคลาวด์ส่วนตัวร่วมกัน นับว่าเป็นการใช้งานแบบผสมผสานที่ช่วยดึงข้อดี และกลบข้อเสียของแต่ละประเภท ประโยชน์ของการใช้งานแบบไฮบริดนั้น คือมีทั้งความยืดหยุ่นของการใช้ งานแบบคลาวด์สาธารณะ ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัยเพราะสามารถจัดเก็บข้อมูล ลูกค้าเอาไว้ในคลาวด์ส่วนตัวได้
อย่างไรก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรจะต้องให้ความสำคัญต่อระบบรักษาความปลอดภัย เพราะการใช้งานแบบระบบไฮบริดนั้น ไม่ไดร้ับประกันความปลอดภัยของข้อมูลได้เท่ากับการใช้งานคลาวด์ส่วนตัวเพียง อย่างเดียว มันจึงมีความเสี่ยงเมื่อต้องรับหรือส่งข้อมูล แม้ว่าจะมีการตั้งรหัสเข้าถึงข้อมูลแล้วก็ตาม
ไม่ว่าจะ Cloud แบบไหน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า Cloud Technology
“READY IDC”
ยินดีเป็นผู้ช่วยคนใหม่…ให้คุณ
สนใจติดต่อหรือสอบถามรายละเอียดการให้บริการเพิ่มเติมได้ทาง
Email: [email protected] หรือ www.readyidc.com